TOP เตรียมขอมติผู้ถือหุ้น 7 เม.ย.เพิ่มทุน-ขายหุ้น GPSC มูลค่า 22,351 ล้านบาท

0 Comments

TOP เตรียมขออนุมัติผู้ถือหุ้น 7 เม.ย.เพิ่มทุน 275 ล้านหุ้น พร้อมการจำหน่ายหุ้น GPSC สัดส่วนประมาณ 10.78% ให้ ปตท. มูลค่ารวม 22,351 ล้านบาท เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น (Bridging Loan) จากการเข้าลงทุนใน PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP)

นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า หลังจากคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติเห็นชอบการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 2,751,200,000 บาท จากปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 20,400,278,730 บาท ซึ่งจะเพิ่มเป็น 23,151,478,730 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 275,120,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par) หุ้นละ 10 บาท พร้อมทั้งเห็นชอบการจำหน่ายหุ้นสามัญของบมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) จำนวนทั้งสิ้น 304,098,630 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10.78% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ GPSC หรือคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 22,351 ล้านบาท

โดยนำเงินที่ได้รับไปชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น (Bridging Loan) จากการเข้าลงทุนใน PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการจัดหาเงินทุนสำหรับการปรับโครงสร้างทางการเงินระยะยาวของบริษัทฯ ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ในวันที่ 7 เมษายน 2565 เวลา 9.00 น. ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซนเตอร์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว เพื่อขอมติจากผู้ถือหุ้นในการทำธุรกรรมดังกล่าว

“การเพิ่มทุนและการจำหน่ายหุ้น GPSC ในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับโครงสร้างทางการเงินของไทยออยล์ เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตตามกลยุทธ์ในระยะยาว ด้วยการต่อยอดความแข็งแกร่งของธุรกิจหลักไปสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพยิ่งขึ้น ทำให้โครงสร้างธุรกิจของไทยออยล์มีความสมบูรณ์และหลากหลายยิ่งขึ้น สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ในระยะยาวของบริษัทฯ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำในธุรกิจพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘Empowering Human Life through Sustainable Energy and Chemicals’ โดยเน้นเพิ่มสัดส่วนกำไรจากธุรกิจปิโตรเลียม ไปสู่ธุรกิจปิโตรเคมี และผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (High Value Product) ประกอบกับยังมีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจไฟฟ้า และธุรกิจอื่นๆ มาสนับสนุน” นายวิรัตน์ กล่าว

นางวนิดา บุญภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการเงินและบัญชี บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP กล่าวว่า การออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 275,120,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par) หุ้นละ 10 บาท จะมีการจัดสรรหุ้นแบ่งออกเป็นดังนี้ 1) การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering: PO) จำนวนไม่เกิน 239,235,000 หุ้น ซึ่งรวมการเสนอขายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้น ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ของหุ้นสามัญทั้งหมดที่ออกและเสนอขายในครั้งนี้

โดยจะไม่จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นที่จะทำให้หรืออาจเป็นผลให้บริษัทฯ มีภาระหรือหน้าที่ตามกฎหมายต่างประเทศ และอาจพิจารณาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนบางส่วนให้แก่ประชาชนทั่วไปด้วย และ 2) บริษัทฯ อาจพิจารณาจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อรองรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนโดยผู้จัดหาหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment Agent) เพื่อรองรับกระบวนการจัดสรรหุ้นส่วนเกินกว่าจำนวนที่จัดจำหน่าย (Over-Allotment) จำนวนไม่เกิน 35,885,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 15% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่เสนอขายในครั้งนี้ ในกรณีที่มีผู้จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ เกินกว่าจำนวนที่เสนอขาย

สำหรับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างทางการเงินของบริษัทฯ เนื่องจากจะส่งผลให้อัตราส่วนระหว่างหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net Debt-to-Equity Ratio: D/E) ปรับลดลงน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 เท่า ขณะเดียวกันจะคงอันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิต (Credit Rating) ให้อยู่ในเกณฑ์กลุ่มระดับลงทุน (Investment Grade) ทำให้บริษัทฯ มีความคล่องตัวมากขึ้นในการดำเนินธุรกิจ สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความยั่งยืน ทั้งในธุรกิจหลักอย่างธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเลียม รวมถึงการขยายโอกาสไปยังธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจใหม่ที่เป็น New S-Curve

ขณะที่การจำหน่ายหุ้นสามัญของ GPSC จำนวนทั้งสิ้น 304,098,630 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10.78% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ GPSC เป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 22,351 ล้านบาท ให้แก่บมจ.ปตท. (PTT) และ/หรือ บริษัท สยาม แมนเนจเม้นท์ โฮลดิ้ง จำกัด (SMH) ซึ่ง ปตท. ถือหุ้นทางอ้อมในสัดส่วน 100% เพื่อนำเงินที่ได้รับไปชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น (Bridging Loan) จากการเข้าลงทุนใน CAP อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการจัดหาเงินทุนสำหรับการปรับโครงสร้างทางการเงินระยะยาวของบริษัทฯ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้สภาพคล่องและฐานะทางการเงินของบริษัทฯ แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยบริษัทฯ มั่นใจว่าจะเป็นผลดีต่อไทยออยล์ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการทำธุรกรรมดังกล่าว ไทยออยล์จะยังคงมีสัดส่วนการถือหุ้นใน GPSC ไม่น้อยกว่า 10% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ GPSC จากปัจจุบันมีสัดส่วนการถือหุ้นที่ 20.78% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ GPSC เพื่อเป็นการรักษาสัดส่วนกำไรที่จะได้จากธุรกิจไฟฟ้าตามแผนกลยุทธ์ระยะยาวของบริษัทฯ

ไทยออยล์ยังคงมุ่งหน้าต่อยอดสู่ธุรกิจที่หลากหลายโดยอาศัยรากฐานที่มั่นคงจากธุรกิจหลัก(Building on Our Strong Foundation) พร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตและเติบโตไปพร้อมกับคนไทย พร้อมก้าวสู่องค์กร 100 ปีอย่างยั่งยืน

อ้างอิง
https://www.bangkokbiznews.com/business