เด็กจบใหม่เคว้ง ! ว่างงาน 49.3% ส่วนใหญ่สาขา “ธุรกิจ-บริหาร”

0 Comments

สภาพัฒน์เผยตัวเลขการว่างงานไตรมาส 4 ของปี’64 ชี้เด็กจบใหม่ว่างงานกว่า 49.3% ส่วนใหญ่จบสาขา “ด้านสังคมศาสตร์-ธุรกิจ-การบริหาร-พาณิชย์” ด้านแนวโน้มแรงงานปี’65 จับตา 4 ประเด็นหลัก

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 นางสาวจินางค์กูร โรจนนันต์ รองเลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การว่างงานในไตรมาส 4 ของปี 2564 อยู่ที่ 1.64% เป็นการว่างงานลดลงต่ำสุดตั้งแต่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 หรือตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2563 ที่มีผู้ว่างงานทั้งสิ้น 6.3 แสนคน

โดยมีแรงงานใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดมีอัตราเพิ่มขึ้น 4.1% โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ที่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษา มีสัดส่วนถึง 49.3% ของผู้ว่างงานทั้งหมด

“ตัวเลขการว่างงานนักศึกษาจบใหม่มีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่โควิดแพร่ระบาด โดยผู้ว่างงานส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่จบการศึกษาในสาขาด้านสังคมศาสตร์ ธุรกิจ การบริหาร และพาณิชย์ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาอัตราการว่างงานตามระดับการศึกษา พบว่า ทุกระดับการศึกษามีอัตราการว่างงานลดลง อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปยังมีอัตราการว่างงานสูงสุดที่ 3.22%”

ส่วนสถานการณ์แรงงานปี 2564 การจ้างงานมีจำนวน 37.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.2% โดยเพิ่มจากภาคเกษตรกรรม 1.8% จากการเคลื่อนย้ายแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิดเข้ามาทำงานในสาขานี้ ขณะที่นอกภาคเกษตรกรรมการจ้างงานลดลง 0.6% ซึ่งเป็นการลดลงในเกือบทุกสาขา ยกเว้นสาขาขนส่งที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 2.7% โดยสาขาที่เกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากโควิด มีการจ้างงานลดลง 3.1% เช่นเดียวกันกับสาขาการศึกษาที่การจ้างงานปรับตัวลดลง 6.5%

ส่วนภาพรวมของชั่วโมงการทำงานภาคเอกชนเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 44.4 ชั่วโมง/สัปดาห์ จาก 43.2 ชั่วโมง/สัปดาห์ แต่การทำงานต่ำระดับยังอยู่ในระดับสูง อัตราการว่างงาน อยู่ที่ 1.93% เพิ่มสูงขึ้นจาก 1.69% ในปี 2563 จากผลกระทบที่สะสมตั้งแต่ต้นปี อย่างไรก็ดีการว่างงานในระบบที่สะท้อนจากผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน (รายใหม่) ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

ขณะที่แนวโน้มตลาดแรงงานปี 2565 คาดว่า สถานการณ์ด้านแรงงานจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากโควิด “โอมิครอน” ไม่รุนแรง ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังเดินหน้าต่อได้ ส่วนประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป คือ 1. การดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจควบคู่กับการควบคุมการระบาด โดยต้องเน้นให้เกิดมาตรการทางเศรษฐกิจมากขึ้น และเอื้อต่อการฟื้นตัวของกลุ่มเอสเอ็มอี 2. การขยายตัวของแรงงานนอกระบบเพิ่มมากขึ้น จะต้องออกมาตรการจูงใจให้คนกลุ่มนี้สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนในระบบ

3. ภาระค่าครองชีพของประชาชน ที่ปรับเพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2564 ส่งผลทำให้แรงงานมีภาระค่าครองชีพเพิ่มขึ้น และ 4. การส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทักษะ และการปรับเปลี่ยนทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการและท้องถิ่น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ว่างงานระดับอุดมศึกษาและผู้ว่างงานระยะยาวยังมีอัตราว่างงานอยู่ในระดับสูง

อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance